วันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2557

Learn English: Daily Easy English Expression 0656: to KICK START smtg


เว็บไซต์เรียนภาษาสุดเจ๋ง

11 เว็บไซต์เรียนภาษาสุดเจ๋ง ที่คนอยากเก่งอังกฤษไม่ควรพลาด!

  • (+ให้คะแนนบทความ)
    1
    2
    3
    4
    5
  • เปิดอ่าน 32,200 point ความคิดเห็น 2
ต้องยอมรับว่ายังมีคนไทยจำนวนมากที่มองการเรียนภาษาอังกฤษในแง่ลบ โดยเฉพาะผู้ที่ผ่านการศึกษาตามระบบของไทย ที่เน้นการฝึกอ่านเขียน ท่องจำแกรมม่าร์อย่างบ้าคลั่งมากสุดประเทศหนึ่งของโลก
พูดง่ายๆ เรียนมาตั้งแต่อนุบาล ยันจบปริญญาตรียังไม่สามารถสื่อสาร หรือพูดได้ เจอฝรั่งหลงทางอยู่ มาขอความช่วยเหลือทีบางคนนี่ เดินหนีเฉย (ไม่เหมือนคนขับสามล้อหน้าพันธ์ทิพย์ ที่วิ่งเข้าใส่)
ครับ..ส่วนสำคัญอันหนึ่งในการประสบความสำเร็จ คือพอจะอ่านออก พูดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่หันหลังหนีให้การการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ก็คือการสร้างให้คนมีความรัก และความรู้ความเข้าใจ ทั้งนี้ สิ่งสำคัญที่จะทำให้คนไม่หันหนี นอกจากความรัก ก็คือมันต้องมีทรัพยากรในการที่จะศึกษาเรียนรู้ภาษาอังกฤษ อยู่รอบตัว
ซึ่ง ในอดีตก็อ้างได้แหละครับ ไม่มีหนังสือบ้าง หนังสือไม่น่าอ่านบ้าง ไม่มีครูบ้าง แต่ปัจจุบันสื่อการเรียนรู้ภาษาอังกฤษราคาถูกลงมาก เรามีหนังสือพิมพ์ นิตรสารเรียนภาษาง่ายๆ ที่เข้าถึงทุกพื้นที่ทั่วประเทศ
ที่สำคัญคือโลกของอินเตอร์เน็ตที่พัฒนาจนคนทุกคน สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ด้วยต้นทุนที่ถูกลง ... จะเป็นไรไปครับ ถ้าเราเริ่มหันหน้าเข้าหามันอีกครั้ง โดยเฉพาะผ่านที่พัฒนาไปมาก น่าติดตาม น่าสนใจมากขึ้น
เอ้าาา จะช้าอยู่ใย... ไปดูสิมีเว็บไซต์อะไรแนะนำบ้าง
1. BBC.co.uk
เรียนภาษาอังกฤษกันไปแบบเพลินๆ โดยการอ่านข่าวที่น่าสนใจมากมาย นอกจากจะได้เรียนรู้ อัพเดทเรื่องราวต่างๆ แล้ว ยังได้สำนวนเจ๋งๆ มาใช้ด้วยแหล่ะ
2. BritishCouncil
เว็บไซต์ที่สอดแทรกความรู้เกี่ยวกับภาษาอังกฤษไว้อย่างเน้นๆ เป็นจำนวนมากของทาง British Council ว่างๆ ลองคลิกเข้าไปดูกันนะครับ
3. StudentWeekly
เว็บเรียนภาษาสไตล์วัยรุ่น และวัยกระเตาะ ผ่านการอัพเดทเกี่ยวกับเรื่องราวที่น่าสนใจต่างๆ มากมาย เรียนรู้กันได้แบบไม่มีเบื่อเลยล่ะ
4. EnglisStore
รวบรวมเอาภาษาอังกฤษในข้อสอบไว้มากมาย ทั้ง Grammar Reading และ Writing
5. EnglishAtHome
อีกหนึ่งเว็บเรียนภาษาที่ได้รวบรวมเอาแบบฝึกหัดแบบต่างๆ ไว้มากมาย เหมาะกับคนที่อ่านมาพอสมควรแล้วอยากจะปลดปล่อยพลังกัน
6. Grammar
ตามชื่อเลยครับ เน้นหนักไปทาง Grammar และ Writing ใครชอบความโหดสะใจไร้ปราณีกันล่ะก็ต้องที่นี่เลย มีเลือกระดับความยากได้ด้วยนะจ๊ะ
7. SimpleEnglishNews
เว็บไซต์เกี่ยวกับข่าวสารต่างๆ แต่ภาษาที่ใช้จะเป็นคำศัพท์ที่สามารถเข้าใจได้ง่าย อ่านง่าย อ่านเพลินต้องที่นี่เลย
8. AudioEnglish
มากไปด้วยคลิปเสียงทางภาษาอังกฤษกว่า 2,500 คลิป เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฝึกทางด้านการฟังอย่างยิ่งเลยจ้า
9. YouTubeVOALearningEnglish
เป็น USER ของ Youtube ที่รวมคลิปสำหรับเรียนภาษาไว้มากมาย มีเวลาลองเข้าไปชม ไปฝึกกันได้นะจ๊ะ
10. CareerAdvice
อีกหนึ่งสุดยอดเว็บไซต์สำหรับเรียนภาษาอังกฤษที่ใช้จริง เจ็บจริง เจอแบบสถานการณ์จริงๆ ในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะวัยทำงานพลาดกันไม่ได้เลยล่ะคร้าบบบ
11.DailyEnglish

เว็บนี้ก็เจ๋งมาก คลังศัพท์ใหม่ๆเพียบ โดยเฉพาะข่าวภาษาอังกฤษที่ย่อยให้อ่านง่ายมาแล้ว รวมถึงยังมีเทคนิกการเรียนรู้ภาษาอังกฤษอีกมาก ที่ชอบคือพิเศษ คือเกมส์ต่อศัพท์ภาษาอังกฤษนะคร๊าบบ แนะนำๆ
ภาษาก็เหมือนชีวิตแหละครับ เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ต้องไม่หยุดที่จะเรียนรู้ มีเวลาว่างก็ลองๆ คลิกลองๆ เล่นกันดูนะ รับรองได้เรียนรู้ภาษาไปพร้อมๆ กับความพลิน รู้ตัวอีกทีก็เก่งกันเลยทีเดียวล่ะครับ :)
ขอบคุณข้อมูลอ้างอิง

พวกแป้งสาลีต่างๆ

แป้งสาลี (Wheat Flour) 
ทำจากเมล็ดข้าวสาลี เป็นแป้งที่เมื่อนำไปผสมกับน้ำ จะทำให้โปรตีนหรือที่เราเรียกว่า กลูเต็น ซึ่งมีลักษณะเป็นยางเหนียว และทำให้แป้งสาลีสามารถยึดหยุ่นได้ และการแบ่งชนิดของแป้งสาลีนี้เค้าก็แบ่งจากกลูเต็นนี่เอง
ถ้าทำจากข้าวสาลีอย่างหนัก จะมีโปรตีนหนักจึงทำให้มีน้ำหนักมาก เมื่อผ่านการสีแล้วได้แป้งที่มีลักษณะค่อนข้างหยาบ สีนวล
ถ้าทำจากข้าวสาลีอย่างเบา จะมีโปรตีนต่ำกว่าจึงมีน้ำหนักน้อยกว่าเมื่อผ่านการสีแล้วจะได้แป้งอย่างละเอียดและมีสีขาวสะอาดกว่า
ซึ่งทำให้ได้ลักษณะของขนมต่างกัน

แป้งสาลีแบบไม่ขัด (Whole Wheat Flour)
แป้งสาลีแบบนี้จะไม่ขัดขาว ดังนั้นเนื้อจึงหยาบๆ จะมีสีน้ำตาลปนนวลๆจากรำข้าวจมูกข้าว ถ้าใช้ทำขนมปังมัีกจะผสมกับแป้งสาลีอเนกประสงค์หรือแป้งขนมปังด้วย ถ้าไม่ผสมเนื้อแป้งจะแน่นมาก แป้งชนิดนี้ำใช้ทำขนมได้เกือบทุกอย่างเหมือนแป้งสาลีอเนกประสงค์ ส่วนมากใช้กรณีที่ไม่ต้องการใช้แป้งขัดขาวทำซึ่งเราจะได้คุณค่าทางอาหารจากรำข้าวจมูกข้าวสาลีด้วย เพราะไม่ถูกขัดออกไป
แป้งสาลีอเนกประสงค์ (All-purpose Flour)
ทำจากข้าวสาลีชนิดหนักและชนิดเบาผสมรวมกัน มีโปรตีน 10-11 เปอร์เซนต์ แป้งมีสีขาวนวล เป็นแป้งที่มีคุณสมบัติอยู่ตรงกลางระหว่างแป้งขนมปังและแป้งเค้ก มีลักษณะหยาบแต่น้อยกว่าแป้งขนมปัง ให้ความเหนียวพอควร แต่คุณภาพจะสู้แป้งขนมปังไม่ได้ใช้ทำผลิตภัณฑ์ได้หลายชนิด สมกับชื่อ ใช้ทำขนมที่ต้องใช้แป้งสาลีได้ทุกอย่าง แต่เนื้อขนมที่ได้จะต่างกับที่ใช้แป้งเฉพาะอย่างเล็กน้อย เช่น ถ้าทำขนมปัง ความหนืดของเส้นใยขนมปังจะไม่ดีเท่ากับใช้แป้งขนมปังทำ หรือทำเค้ก เนื้อขนมเค้กจะไม่นุ่มหรือละเอียดเท่ากับใช้แป้งเค้กทำ แต่แป้งชนิดนี้ราคาถูกกว่าแป้งสาลีชนิดอื่นๆ และหาซื้อง่ายกว่า
แป้งชนิดนี้ำใช้สามารถใช้ทำขนมปุยฝ้าย ปั้นสิบทอด ซาลาเปา กระหรี่พัฟฟ์ คุกกี้ พาย มัฟฟิน บิสกิต กรอบเค็ม เป็นต้น
ถ้านำแป้งชนิดนี้ไปทำเค้ก จะได้เนื้อเค้กที่แน่นกว่าใช้แป้งเค้กทำ แป้งชนิดนี้ถ้าใช้แทนแป้งเค้กต้องลดส่วนลง คือ แป้ง 1 ถ้วยตวง ให้ตักออกไป ช้อนโต๊ะ
แป้ง ๑ ถ้วยตวง หนักประมาณ 110 กรัม

แป้งขนมปัง (Bread Flour) 

ทำจากข้าวสาลีชนิดหนัก มีปริมาณโปรตีน 13-14 เปอร์เซนต์ แป้งมีสีขาวนวล เมื่อสัมผัสผิวแป้งจะหยาบกว่าแป้งสาลีชนิดอื่น ใช้ฝ่ามือบีบจะไม่รวมตัวกันเป็นก้อนได้ง่าย แป้งชนิดนี้ปริมาณโปรตีนสูง ทำให้แป้งขนมปังสามารถดูดน้ำได้มาก ทนต่อการหมักหรือพักแป้งได้เป็นอย่างดี มีความยืดหยุ่น เหนียว เมื่อรวมตัวกับน้ำในอัตราส่วนที่เหมาะ
สม โปรตีน(กลูเตน)จะรวมตัวให้ให้โครงสร้างมีลัาษณะคล้ายฟองน้ำ มีความเหนียวและยืดหยุ่น ทำให้สามารถอุ้มแก๊สเอาไว้ได้ และเนื่องจากเนื้อแป้งมีลักษณะ หยาบ จึงเหมาะที่จะใช้ทำขนมปังต่างๆ หรือขนมที่มีลักษณะคล้ายขนมปัง เช่น เดนิช พิซซ่า ครัวซอง ปาท่องโก๋ โรตี โดนัทยีสต์ ฯลฯ
และใช้ทำเค้กที่ต้องการให้ได้เนื้อเค้กที่มีลักษณะแน่น เช่น ฟรุตเค้ก เพราะต้องการที่จะพยุงน้ำหนังของผลไม้ไม่ให้จม
นอกจากนี้ทำอาหาำรจำพวกเส้น เช่น เส้นบะหมี แผ่นเกี๊ยว สปาเกตตี้ ฯลฯ
แป้ง 1 ถ้วยตวง หนักประมาณ 112 กรัม
แป้งเค้ก (Cake Flour) 

ทำจากข้าวสาลีชนิดเบามีปริมาณโปรตีนน้อย คือ มีประมาณ 7 - 8 เปอร์เซนต์ เนื้อแป้งจึงมีความเบากว่าแป้งชนิดอื่น เนื้อแป้งละเอียดเนียน สีขาวกว่าแป้งขนมปังและแป้งสาลีอเนกประสงค์ เมื่อบีบเข้าด้วยกันจะเป็นก้อนได้ง่าย เมื่อนำมาผสมน้ำจะดูดซึมน้ำได้น้อยได้ก้อนแป้งที่เหนียวติด
มือ จึงเหมาะสำหรับทำขนมที่ต้องการให้ได้เนื้อที่มีลักษณะโปร่งเบา เช่น สาลี ขนมปุยฝ้าย ขนมไข่ แพนเค้ก แยมโรล ขนมเค้ก ฯลฯ
แป้งชนิดนี้ใช้ผงฟู หรือเบกกิ้งโซดา เป็นตัวทำให้ฟู
แป้ง ๑ ถ้วยตวงหนัก 96 กรัม

*** ภาพซ้ายบน ให้เห็นแป้งโฮลวีท และแป้งสาลีอเนกประสงค์ชัดๆ
..ส่วนภาพประกอบแป้งขนมปังและแป้งเค้ก ไม่มียี่ห้อ เพราะซื้อจากถัง ตวงใส่ถุงพาสติกตามชอบ***




แป้งตั้งหมิ่น (Wheat Starch)

เป็นแป้งสาลีที่เอาโปรตีนหรือที่เรียกกันว่า กลูเตน (gluten) ออกไปแล้ว เมื่อสุกจะมีลักษณะใสและเหนียว ใช้ใน
การติ่มซำ เช่น ฮะเก๋า ฝั่นก๋อ/ฝั่นโก๋ หรือใส่เผือกทอด เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถผสมกับน้ำแล้วเทใส่ผัด เพื่อให้น้ำเหนียวข้นขึ้นด้วย หรือจะใช้แทนแป้งข้าวโพดหรือแป้งมันก็ได้

แป้งข้าวโพด (Corn Meal)
แป้งข้าวโพดแบบนี้ ทำมาจากเมล็ดข้าวโพดบดละเอียด (แต่ไม่ละเอียดแบบเนื้อแป้ง เพราะถ้าละเอียดจนเป็นแป้งเค้าจะเรียกว่า Corn flour หรือ Corn starch)  เนื้อจะสากๆเหมือนทรายละเอียด มีทั้งแบบสีขาวถ้าทำจากข้าวโพดขาว เนื้อสีเหลืองถ้าทำจากข้าวโพดสีเหลือง (Yellow Corn Meal) หรือสีออกฟ้าๆม่วงๆ ถ้าทำจากข้าวโพดสีม่วง ( Blue Corn Meal ) ใช้ทำได้หลายอย่าง เช่น มัฟฟิน ขนมปัง เค้ก corn dog ฯลฯ เนื้อขนมที่ได้จะนุ่ม ไม่สากแต่แตกต่างจากใช้แป้งสาลีอื่นทำ

ให้ดูเนื้อแป้งชัดๆ จะออกสีเหลืองเพราะของเราซื้อแบบเหลือง เอามาทำมัฟฟิน หรือขนมปัง ทาน

แป้งทำขนมและอาหาร **รู้ไว้จะได้ดัดแปลงการใช้อย่างถูกต้อง**

วันนี้เอาความรู้เรื่องแป้งต่างๆมาให้อ่าน เมื่อรู้คุณสมบัติของแป้งเหล่านี้แล้ว จะได้นำไปดัดแปลงทำขนมหรืออาหารได้
เมื่อสูตรอาหารหรือขนมใดที่เราไม่มีแป้งอย่างที่เค้าบอก เราก็สามารถดัดแปลงใช้แป้งที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงไปแทนได้
เริ่มจากแป้งที่คนไทยรู้จักดีก่อนก็แล้วกัน
แป้งข้าวเจ้า (Rice Flour) 

เป็นแป้งที่ทำจากเมล็ดข้าวเจ้า มีลักษณะเป็นผงมีสีขาวจับแล้วสากมือเล็กน้อย เมื่อทำให้สุกจะมีลักษณะขุ่นร่วน ถ้าทิ้งให้เย็นจะอยู่ตัวเป็นก้อนร่วนไม่ถึงกับเหนียวหนึบ และไม่ถึงกับร่วนฟูเป็นเนื้อทราย จึงเหมาะที่จะประกอบอาหาร ที่ต้องการความอยู่ตัวร่วนไม่เหนียวหนืด เช่น ขนมขี้หนู ขนมตาล ขนมกล้วย ขนมน้ำดอกไม้ ตะโก้ เส้นขนมจีน ฯลฯ
สมัยก่อนนิยมโม่กันเอง โดยล้างข้าวสารก่อน แช่ข้าว โดยใส่น้ำให้ท่วมแช่จนข้าวนุ่ม จะโม่ง่าย ในปัจจุบันนิยมบดด้วยเครื่องบดไฟฟ้าบดให้ละเอียดแล้วจึงห่อผ้าขาวบางทับน้ำทิ้งจะได้แป้งข้าวเจ้า
เรียกแป้งสด

แป้งข้าวเหนียว (Glutinous Flour) 

เป็นแป้งที่ทำมาจากเมล็ดข้าวเหนียว ที่มีลักษณะเป็นผงสีขาว จับแล้วสากมือเล็กน้อย เป็นแป้งที่นิ่มมาก เมื่อนำไปทำให้สุกจะมีลักษณะขุ่นข้น เหนอะหนะ พอแป้งถูกความร้อนจะจับตัวเป็นก้อนค่อนข้างเหนียว เคี้ยวหนึบ เหมาะในการนำมาประกอบอาหารที่ต้องการความเหนียวเกาะตัว เช่น ขนมเทียน ขนมถั่วแปบ ขนมต้ม บัวลอย บ้าบิ่น ฯลฯ ในขนมบางชนิดจึงผสมแป้งข้าวเจ้าลงไปด้วยเล็กน้อย จะทำให้ขนมหรืออาหารนิ่มนวลขึ้น

แป้งมันสำปะหลัง (Cassave Starch หรือ Tapioca Starch) 

ทำมาจากหัวมันสำปะหลัง บางครั้งเรียก แป้งสิงคโปร์ มีลักษณะเป็นผงสีขาว จับผิวสัมผัสของแป้งจะเนียน ลื่นมือ เมื่อทำให้สุกจะเหลวเหนียวหนืด เมื่อพักให้เย็นจะมีลักษณะเหนียวเหนอะหนะคงตัว
นิยมนำมาผสมกับอาหารที่ต้องการความเหนียวหนืดแต่ใสและดูขึ้นเงา เช่น ลอดช่องสิงโปร์ ครองแครงแก้ว ทับทิมกรอบ ฯลฯ ในการทำขนมหวานไทยนิยมนำแป้งมันสำปะหลังมาผสมกับแป้งชนิดอื่น ๆ เพื่อให้ขนมมีความเหนียวนุ่มกว่าการใช้แป้งชนิดเดียว เช่น ขนมชั้น ขนมฟักทอง ขนมกล้วย ขนมปลากริมไข่เต่า ฯลฯ หรือละลายแป้งมันกับน้ำใส่ลงไปด้วยเพื่อให้ขนมมีความข้นหนืด เช่น เต้าส่วน ฯลฯ
นอกจากนี้นำไปชุบอาหารทอดจะไม่กรอบถ้าใช้แป้งมันอย่างเดียว จึงควรผสมแป้งสาลีสักครึ่งหนึ่ง เมื่อทอดจะกรอบนุ่ม เช่น หอยทอด เป็นต้น

แป้งข้าวโพด (Corn Starch) 

เป็นแป้งที่สกัดมาจากเมล็ดข้าวโพด มีลักษณะเป็นผงสีขาวเหลืองนวลจับแล้วผิวสัมผัสของแป้งเนียนเนียนละเอียดลื่นมือ เมื่อทำให้สุกจะมี
ลักษณะข้นและใสไม่คืนตัวง่าย เมื่อเป็นตัวแป้งจะอยู่ตัวจับเป็นก่อนแข็งร่วนเป็นมันวาว ใช้ทำขนมตะโก้ และผสมแป้งอื่นทำขนมชั้นให้มีเนื้อใสเป็นเงา นิยมนำมาผสมกับอาหารเพื่อต้องการความข้นอยู่ตัว

แป้งถั่วเขียว (Mung bean Starch) 

เป็นแป้งที่สกัดมาจากถั่วเขียว โดยแช่ถั่วเขียวในน้ำ 6 ชั่วโมงแล้วล้าง นำไปโม่หรือบด แป้งที่ได้จากถั่วเขียวจะมีลักษณะคล้ายแป้งเปียก แล้วกรองด้วยผ้าขาวบางหลายๆครั้งจ ะได้แป้งที่ข้น รินน้ำใสๆที่อยู่ข้างบนทิ้ง ผึ่งแป้งบนตะแกรงหรืออบให้แป้ง เมื่อแป้งแห้งแล้วบดให้ละเอียด จะได้แป้งถั่วเขียว เมื่อทำให้สุกจะมีลักษณะข้นค่อนข้างใสเป็นเงางามเหมือนวุ้น เมื่อพักให้เย็นจะจับตัวเป็นก้อนแข็งอยู่ตัวค่อนข้างเหนียวเด้ง เหมาะในการทำอาหารที่ต้องการความใสอยู่ตัว เช่น ซาหริ่ม ขนมลืมกลืน ตะโก้ ลอดช่องแก้ว เรไร ฯลฯ

แป้งท้าวยายม่อม (Arrowroot Starch)

สกัดมาจากหัวมันท้าวยายม่อมซึ่งเก็บหัวได้ปีละครั้ง วิธีทำคือ นำหัวเท้ายายม่อมมาฝนกับกระต่ายจีน แล้วนำไปแช่น้ำไว้จนใส และแป้งนอนก้น จึงเทน้ำทิ้ง ทำเช่นนี้ประมาณ 4 - 5 ครั้ง จึงนำไปตากแดดจนแห้ง เหตุนี้จึงทำให้แป้งท้าวยายม่อม ราคาสูงกว่าแป้งชนิดอื่น
ลักษณะแป้งเป็นเม็ดสี่เหลี่ยมเล็กๆ ลื่น สีขาวเป็นเงา เวลาใช้ ต้องบดให้ละเอียดเป็นผงเมื่อนำไปประกอบอาหารจะให้ความข้นเหนียวหนืดและใสเมื่อทำให้เย็นจะ
เหนียวตัวกว่าแป้งมันสำปะหลัง แป้งนี้จะช่วยทำให้ขนมนุ่ม ใส ดูเงางาม จึงนิยมนำมาใช้ร่วมกับแป้งชนิดอื่น ๆ เช่นผสมกับแป้งมันและแป้งข้าวเจ้าในการทำ ขนมชั้น ใช้ผสมกับแป้งข้าวเจ้าในการทำขนมเปียกปูน หรือ ขนมน้ำดอกไม้ ฯลฯ

ภาษาอังกฤษมีตั้ง 12 tense จำยังไงให้ได้โดยไม่ต้องท่อง!!!

แชร์เทคนิกง๊ายยยยง่าย ภาษาอังกฤษมีตั้ง 12 tense จำยังไงให้ได้โดยไม่ต้องท่อง!!!

ในเมื่อ AEC ก็ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว ภาษาอังกฤษดูจะมีความสำคัญขึ้นมาเรื่อย ๆ
เรียนกันมาสิบกว่าปี แต่ แหมมม๊ ไม่เข้าใจ จำไม่ได้ซักที วันนี้เอมเลยมีเทคนิกง่ายๆในการจำ tense ทั้ง 12 มาบอกจ้าาา ^___^

เตรียมใจให้พร้อม อาจจะยาวเล็กน้อย แต่คอนเฟิร์มเลยว่าไม่ยากแน่นอน
เพราะจะยังไม่ลงรายละเอียดเรื่อง tense ไหน ใช้เมื่อไหร่ ใช้ยังไงน้า จะมาสอนทริคการจำให้ได้แบบง่ายๆก่อน

-------------------------------------------------------------------------------------

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า ประโยคในภาษาอังกฤษเค้าจะไม่เหมือนภาษาไทยนะมันจะมีการเปลี่ยนแบบรูปแบบของประโยคไปตามเวลาที่พูดถึงซึ่งรูปแบบประโยคที่ต่างๆกันออกไปที่เราเรียกกันว่าเจ้า "tense" เนี่ย จะใช้เพื่อบอกว่าสิ่งที่เค้าพูดถึงว่า มันคือตอนไหน เมื่อไหร่  ต่อเนื่องมั้ย พึ่งเสร็จไป อะไรยังไง แบบนี้ เราก็เลยต้องมาเข้าใจมันหน่อย เพื่อที่จะได้เอาไปใช้ให้มันพูด สื่อสารให้ได้ชัดเจนที่สุดว่าสิ่งที่เรากำลังพูดถึงเนี่ยมันเกิดตอนไหนนะ 
จะได้เป็นสาวยุคใหม่พ่นอังกฤษไฟแล่บบบ ไม่ตกม้าตายไปกับ AEC ฮี่ก่อบก่อบบ 


มาพักกันหน่อย หายใจเข้าลึกๆซักหนึ่งฮึบ เราจะเริ่มกันจริงๆแล้ววว
ฟื ด ด ด ด ด ด ด ด . . . . (นั่นเสียงหายใจเข้าหรือสูดขี้มูก 5555)

>> คลิกเพื่อดาวน์ไฟล์โหลดรูป <<
แนะนำให้เปิดรูปดู พร้อมกับอ่านไปด้วยนะคะ จะได้ไม่งง

มาเริ่มกันเลย  :D

ก่อนอื่นเราดูตารางคร่าวๆ ก็จะเห็นว่าตารางนี้ มี 4 คอลัมน์ กับอีก 3 แถว รวมทั้งหมดไฝว้กันออกมาได้เป็น 12 ช่อง
โดยที่หัวตารางด้านบนในแนวตั้ง จะเป็นสิ่งที่เรียกว่า tense จะมี 4 อัน คือ
1.Simple   2.Continuous  3.Perfect  4.Perfect Continuous
 
ส่วนหัวตารางด้านซ้ายในแนวนอนจะเป็น time (เวลา) จะมี 3 อัน คือ
1.Present   2.Past   3.Future ก็คือ ปัจจุบัน, อดีต, อนาคต 
นั่นเอง

-------------------------------------------------------------------------------------

-------------------------------------------------------------------------------------

ทีนี้เราค่อยๆมาดูไปด้วยกันทีละคอลัมน์ในแนวตั้งนะ เวลาอ่านชื่อ tense ก็อ่านช่องด้านซ้ายก่อน แล้วก็ต่อด้วยช่องด้านบน

ช่องแรกคือ Simple ง่ายสุดเลย 


• Present Simple ก็แบบที่เราเรียนกันมาง่ายๆเลย Sub + V1 (เติม s/es เมื่อประธานเป็นเอกพจน์) 
• Past Simple ก็ง่ายอีก Sub + V2 ไปเลย ในเมื่อ V2 มันก็คือกริยาที่ใช้สำหรับในอดีตอยู่แล้วใช่มะะ 
• Future Simple ก็ง่ายอีก เราเอา Sub + will + Vinf โดยที่คำว่า will แปลว่า "จะ" มันจะทำหน้าที่เป็นกริยาช่วยในประโยค ตามด้วย Vinf ก็คือ Verb ที่ไม่เปลี่ยนไม่เติมอะไรใดๆทั้งสิ้น หรือแบบที่เราจำกันมาตลอดว่า Sub + will + V1 นั้นแหละ เราก็จำว่า ถ้าจะบอกว่า จะทำนู่น จะไปนี่ จะเอานั่น เราก็แค่ใช้ will + verb ข้างหลังที่ไม่ต้องไปเติมไรให้มันอีก เพราะ will บอกไปหมดแล้วว่ามันเป็นอนาคต เราเหลือแค่ต้องบอกว่าจะทำอะไร แค่นั้นพอ อย่าเยอะ!
ดังนั้นเมื่อไหร่เจอ I will eating. I will eaten. ผิดทันที !!!!!!!!!!

.   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .


(รูปเดียวกันกับข้างบน)

ช่องที่สองคือ Continuous รูปประโยคของมันจะเป็น V. to be + Ving (Verb to be ก็คือ is am are เป็น อยู่ คือ ที่ท่องกันมานั้นแหละะะะ)


" มันจะอยู่ช่วงเวลาไหน มันก็เป็น V.to be + Ving โดยที่เราผันตัว V.to be ไปตามเวลาของมัน แต่ Ving คงเดิมตลอด เพราะตัวที่บอกความเป็น Continuous คือ Ving "

• Present Continuous ก็เลยจะเป็น Sub + is/am/are + Ving ดังนั้นเมื่อไหร่เจอ I'm kicks. I'm loves. ผิดทันที!!! แต่ถ้าเจอ I'm kicked. I'm loved. อาจจะไม่ผิดนะ เป็นรูปประโยคแบบ Passive Voice ต้องแปลความหมายเอา แต่พวก I'm said.... งี้ ผิดทันที!
• Past Continuous รูปประโยคแบบเดิมเปี๊ยบบบบ แต่เราผันตัว is/am/are ให้กลายเป็นอดีตไปซะ ก็จะได้เป็น Sub + was/were + Ving
• Future Continuous พอเป็นอนาคต เราก็ต้องใช้ will มาบอกว่าเรา "จะทำ" ใช่ม่ะ แล้วหลัง will มันต้องไม่เปลี่ยนไม่เติมอะไร เราก็เลยได้เป็น  Sub + will + be + Ving ไอ่ be ตรงกลางนั่นมันก็มาจาก V. to be ไง จำได้มั้ยรูปประโยคต้องเป็น V.to be + Ving ตลอด 

สรุป ไปดูในรูปจะเห็นว่า ช่อง Continuous ในแนวตั้ง ไม่ว่าจะช่วงเวลาไหน 
จะมีกรอบสีเหลืองที่เป็น V.to be ตลอด และที่สำคัญที่สุดคือ มีตัวสีส้ม คือ Ving ตลอด !!!!!!!!!

.   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .


ช่องถัดมาคือ Perfect รูปของมันจะเป็น V. to have + V3 ที่ดูเหมือนยาก แต่ก็ไม่ยากเลย


เหมือนเดิมเลยนะ

" มันจะอยู่ช่วงเวลาไหน มันก็เป็น V.to have + V3 โดยที่เราผันตัว V.to have ไปตามเวลาของมัน แต่ V3 คงเดิมตลอด เพราะตัวที่บอกความเป็น Perfect คือ V3 "

• Present Perfect ก็เลยเป็น Sub + has/have + V3 ถ้าประธานเป็นเอกพจน์ (He,She,It, คน สัตว์ ของ 1 อัน) ก็ใช้ "has" ถ้าเป็นพหูพจน์ (You,We,They, คน สัตว์ ของมากกว่า 1) ก็ใช้ "have" 
• Past Perfect ก้แบบประโยคเหมือนเดิม แต่เราต้องทำ has/have ให้มันเป็น ช่อง 2 ไง เพราะ V2 คือ V ที่บอกอดีต แล้วช่อง 2 ของ has/have ก็คือ had เราเลยได้เป็น Sub + had + V3 อุต่ะะะ ง่ายจิมจิม!!
• Future Perfect พอเป็นอนาคตก็ต้องบอกว่า "จะ..." เหมือนเดิม ก็ยัดมันเข้าไปเล้ยยย ได้เป็น Sub + will + have + V3 เพราะหลัง will บอกแล้วว่า verb มันต้องธรรมดา อย่าเยอะ ไม่เติม ไม่เปลี่ยน เลยต้องกลับมาใช้ have ธรรมดา แล้วก็ตามด้วย V3 ซะ ได้ Perfect ด้วย แล้วยังเป็น Future อีกตะหาก  
**และใช้ have อย่างเดียวเท่านั้น ไม่ใช่ has จำซะว่าเราเน้นบอกว่ามันเป็นอนาคต ส่วน Perfect เราแค่มี have + V3 มันก็ perfect แล้วไง ไม่ต้องไป has ให้มันเยอะ!!**
ดังนั้นเมื่อไหร่ใช้ will has ..... หรือ will had.....  หรือ will v3..... ผิดทันที !!!!!!!!

สรุป ไปดูในรูปจะเห็นว่า ช่อง Perfect ในแนวตั้ง ไม่ว่าจะช่วงเวลาไหน 
จะมีกรอบสีพีชที่เป็น V.to have ตลอด และที่สำคัญที่สุดคือ มีตัวสีชมพู คือ V3 ตลอด !!!!!!!!!

.   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .   .

เกือบจบแล้วววว หยุดพักหายใจซักฮึบ แล้วมาลุยกันต่อ :D


สุดท้ายยยยยก็คือ Perfect Continuous ซึ่งจริงๆมันก็ง่ายๆ ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า Perfect Continuous มันก็เลยต้องมีทั้ง Perfect คือ have + V3 แล้วก็ Continuous ก็คือ Ving ด้วย รูปประโยคของมันก็เลยเป็น Sub + V. to have + V.3 (ซึ่งในที่นี้คือ been ซึ่งเป็นช่อง 3 ของ be) + Ving


อันนี้อาจจะดูมึนๆ ยาวๆหน่อย แต่ไม่ยากเลย ค่อยๆอ่านนะคะ

• Present Perfect Continuous จากรูปแบบมันเราเลยได้เป็น Sub + has/have + been + Vingโดย has/have been ก็บอกความเป็น perfect ส่วน Ving ก็บอกความเป็น Continuous ! จับมาต่อกัน แค่เนี้ยยยยยย
• Past Perfect Continuous ก้จับ has/have มาทำเป็นอดีตซะ ที่เหลือไม่ต้องไปเปลี่ยน อย่าเยอะ!!!!! ก็ได้เป็น Sub + had + been + Ving นั่นง่ะะ had ก็บอกว่าเป็นอดีต แล้ว had+been ก็บอกความเป็น perfect แล้ว Ving ก็บอกความเป็น Continuous ครบบบบบ !!!
• Future Perfect Continuous เป็น future เมื่อไหร่ ใช้ will เมื่อนั้น! มี will เมื่อไหร่หลัง will เป็น have เท่านั้น! เราก็เลยได้ว่า Sub + will + have + been + Ving โดย wil บอกความเป็นอนาคต have been บอกความเป็น perfect แล้ว Ving ก็บอกความเป็น Continuous !!!!!
ดังนั้นเมื่อไหร่ใช้ will + has + been + Ving ผิดทันที !
ใช้ will + been + Ving ผิดทันที ! ใช้ will + have + be + Ving ผิดทันที !!!!!!!

สรุป ไปดูในรูปจะเห็นว่า ช่อง Perfect Continuous ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลา ปัจจุบัน อดีต อนาคต 
จะมี Sub + V.to have ในกล่องสีพีช + been แล้วตบท้ายด้วย Ving ตลอด !!!!!!!!!!!

-----------------------------------------------------------------------------------------

จบแว้วววววว 12 tense  เห็นมั้ยง่ายนิดเดียว :D
ใครยังไม่เข้าใจ ลองดูในภาพตารางอีกซักรอบ แล้วดูความสัมพันธ์ของแต่ละช่องในแนวตั้งนะคะ
จะเห็นว่า เอ๊ะ มันมีตัวสีส้มเหมือนกันเลย สีชมพูเหมือนกันเลย ค่อยๆดูไปทีละนิดนะคะ ^___^