วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2559

พูดอังกฤษได้ใน 1 นาทีกับ I Get English - Day 1


ฝึกพูดอังกฤษกับ 30 ประโยคพื้นฐานง่ายๆ


วันอังคารที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2559

สูตรวิธีทำ"ไข่เค็ม"

สูตรวิธีทำ"ไข่เค็ม"ให้แดงเป็นสีสดมันเยิ้มๆทานอร่อยสูตรสำหรับทำกินทำขาย เราย้ำในสูตรว่าควรจะใช้ไข่เป็ดดีกว่าไข่ไก่ข้อดีที่เปลือกของไข่เป็ดสดมีรูเล็กกว่าไข่ไก่คือ เชื้อต่าง ๆ ก็จะเข้าไปในไข่เป็ดไข่ยากกว่าไข่ไก่เนื้อไข่ขาวของไข่เป็ด จะมีความแข็งมากกว่าไข่ไก่ ทำให้เวลาต้มแล้วจะได้เนื้อไข่ขาวที่มีรสชาตินุ่ม เป็นเนื้อเดียวกัน
วัตถุดิบ ::
ไข่เป็ดดิบ 10 ฟอง
ภาชนะสำหรับดองไข่ (ที่ไม่ทำปฏิกิริยากับเกลือ เช่น โหลแก้ว แก้วพลาสติก กะละมัง เครื่องเคลือบดินเผา)
เกลือ 1 ถ้วยตวง (1 ถ้วยตวง = 16 ช้อนโต๊ะ = 240 กรัม = 8 ออนซ์)
น้ำสำหรับต้มน้ำเกลือ 4 ถ้วยตวง (หรือ 1 ลิตร)
เหล้าขาวใส่เพื่อให้ไข่แดงเป็นสีสดเข้มเป็นน้ำมันเยิ้ม ๆน่ารับประทาน ใส่ในปริมาณเล็กน้อยนะคะ ไม่ต้องเยอะ
วิธีทำ ::
ล้างไข่เป็ดให้สะอาด สะเด็ดน้ำจนแห้งสนิท ใส่ลงในโหลแก้ว เตรียมไว้
ทำน้ำเกลือสำหรับดองไข่ โดยใส่เกลือกับน้ำลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟจนเดือด และคนให้เกลือละลายจนหมด ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็นสนิทแล้วค่อยเติมเหล้าขาวในน้ำเกลือที่เย็นแล้วผสมให้เข้ากันนิดหน่อย
เทน้ำเกลือที่เย็นแล้วลงในโหลไข่จนท่วมไข่ จากนั้นใช้ถุงพลาสติกใส่น้ำวางทับลงไปให้ไข่เป็ดจมอยู่ใต้น้ำ ตลอดเวลา ปิดฝาให้สนิท เก็บไว้ในที่ร่ม นานประมาณ 2-3 อาทิตย์ สำหรับทำไข่ดาว เก็บไว้นานประมาณ 2 อาทิตย์ สำหรับทำไข่ต้ม เก็บไว้นานประมาณ 3 อาทิตย์
เคล็บลับ :: ทำอย่างไรให้ไข่แดงเค็มเป็นน้ำมัน ?
หลายคนชอบกินไข่เค็มที่มีไข่แดงเป็นน้ำมันเยิ้ม ๆ ออกมา เพราะทั้งมัน ทั้งอร่อย เทคนิคก็คือ หลังจากที่พักน้ำเกลือจนเย็นสนิทแล้ว คนผสมให้เข้ากัน แล้วเทใส่ลงในโหล จะทำให้ไข่แดงเค็มที่ได้ก็จะเป็นน้ำมันเยิ้ม ๆ น่ากินนั่นเองค่ะ
เคล็บลับ :: วิธีต้มไข่เค็มให้อร่อย
การที่จะต้มไข่เค็มให้อร่อยนั้น มีเคล็ดลับอยู่ที่ "สารส้ม" ทำได้โดยใส่น้ำลงในหม้อ ใส่สารส้ม 1 ก้อน หรือสารส้มป่นประมาณ 1/2 ช้อนโต๊ะ ตามด้วยไข่ไก่ นำขึ้นตั้งไฟปานกลาง ต้มจนเดือด นานประมาณ 8-10 นาที ก็จะได้ไข่เค็มต้มสุดอร่อยไว้กินแล้ว
เคล็บลับ :: วิธีเก็บไข่เค็มต้มให้ได้นานที่สุด
ไข่เค็มที่นำไปต้มแล้วสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้นานประมาณ 1 เดือน ส่วนวิธีการเก็บรักษาไข่เค็มต้มให้ได้นานที่สุดคือ ให้ใส่สารส้มลงไปแกว่งในน้ำที่ใช้ต้มไข่ด้วย นอกจากจะยืดอายุไข่เค็มได้แล้ว สารส้มจะทำให้สีของเปลือกไข่ และเนื้อไข่ขาวสวยขึ้นอีกด้วย
ที่มาข้อมูลจากเว็บ http://cooking.kapook.com/view87786.html

วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2559

Tense

All 12 tenses summarized for you!
สรุป: ทั้งหมด 12 TENSES

Tense
ภาษาอังกฤษนั้นมีรูปแบบประโยคที่เรียกว่า Tense เอาไว้แสดงเวลาในกรณีต่างๆ กัน โดยจะทำให้ส่วนของ Verb นั้นเปลี่ยนรูปแบบไป (ซึ่ง verb ที่เปลี่ยนไปตาม Tense คือ Verb แท้ของประโยค) แบ่งเป็น 3 ประเภทเวลาใหญ่ๆ คือ
ปัจจุบัน Present = V1, อดีต Past = V2, อนาคต Future = Will + V
แต่ละเวลาจะแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบย่อย คือ
Simple = V (รูปแบบอย่างง่าย), Continuous = be + Ving (กำลังทำ) , Perfect = Have + V3 (เกิดก่อนอีกอัน เวลาไม่สำคัญ)
Present Tenseใช้สำหรับบอกเหตุการณ์ในปัจจุบัน
Present Simple = ใช้บอกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำ เป็นจริงเสมอ = รูปแบบ คือ S + V1 (ผันตามประธาน) เช่น He watches TV everyday.
Present Continuous = ใช้บอกเหตการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน = S + is/am/are + Ving [be ผสมกับ V1 ได้ is/am/are] เช่น I am doing my homework.
Present Perfect = ใช้บอกว่าได้ทำเหตุการณ์ไปแล้วก่อนหน้านี้ โดยไม่ต้องระบเวลาที่แน่นอน(รู้แค่ทำไปแล้ว เวลาไม่สำคัญ) = S + has/have +V3 [เนื่องจาก V1 ผสม have ได้ has/have ] เช่น I have already seen that movie.
Past Tenseใช้สำหรับบอกเหตุการณ์ในอดีต
Past Simple = ใช้บอกเหตุการณในอดีต ที่เกิดแล้วจบในอดีต มักระบุเวลาที่เจาะจงในอดีต = รูปแบบ คือ S + V2 เช่น I walked to school yesterday.
Past Continuous = ใช้บอกเหตการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในอดีต (มักใช้คู่กับ Past Simple) = S +was/were + Ving [be ผสม V2 ได้ was/were] เช่น He was sleeping when I arrived.
Past Perfect = ได้ทำเหตุการณ์ไปแล้วก่อนหน้าจะเกิดเหตุการณ์ในอดีตอีกอันหนึ่ง (จึงมักใช้คู่กับ Past Simple Tense) = S + had +V3 [เนื่องจาก V2 ผสม Have ได้ Had ] เช่น I had already eaten when they arrived.
Future Tenseใช้สำหรับบอกเหตุการณ์ในอนาคต
Future Simple = ใช้บอกเหตุการณ์ในอนาคต = รูปแบบ คือ S + will + V1 เช่น It will snow tomorrow.
Future Continuous = ใช้บอกเหตการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในอนาคต = S +will + be + Ving เช่น He will be sleeping when we arrive.
Future Perfect = ได้ทำเหตุการณ์ไปแล้วก่อนหน้าจะเกิดเหตุการณ์ในอนาคต = S + will + have +V3 เช่น I will have already eaten when you arrive.

เรียนภาษาอังกฤษกับอัฟฟาน Study English with Affan's photo.

Different ways to say how are you?
วิธีต่างๆที่จะบอกว่า สบายดีไม่?

โครงสร้างประโยคทั้ง 11 โครงสร้างของ verb to be

โครงสร้างประโยคทั้ง 11 โครงสร้างของ verb to be
1. S + be + adverb
เราสามารถใช้ verb to be กับคำวิเศษณ์ (adverb) ได้ดังต่อไปนี้
–The kids are outside.
ลูกๆอยู่ข้างนอกกัน
–I’ll be there in ten minutes.
ฉันจะออกไปที่นั่นในอีก 10 นาที
–Where are my glasses?
แว่นตาของฉันอยู่ที่ไหน?
–The game was over.
การแข่งขันได้จบลงแล้ว
–The power is out. 
ไฟฟ้าดับ
–TV is still on. 
โทรทัศน์ยังคงเปิดอยู่
–All prices are up. 
ราคาสินค้าทั้งหมดสูงขึ้น
–You walk a lonely road. Oh! How far you are from home. 
เธอเดินบนเส้นทางสายเปลี่ยว โอ้...เธอช่างมาไกลจากบ้านเสียเหลือเกิน
2. S + be + adjective
เราสามารถใช้ verb to be กับคำคุณศัพท์ (adjective) ได้ดังต่อไปนี้
–I’m done.
ผมทำเสร็จแล้ว/ใช้เสร็จแล้ว
–I’m frightened.
ดิฉันกลัว
–My hair is dry.
ผมของฉันแห้งกรอบ
–She was born pretty.
เจ้าหล่อนเกิดมาสวย
–The baby is sound asleep.
ทารกกำลังหลับอยู่
–Maybe the network is down.
บางทีเครือข่ายอาจจะล่มก็ได้
–I’m so sorry. I didn’t mean to annoy you.
ผมขอโทษ ผมมิได้มีเจตนาจะทำให้คุณรำคาญ
–The battery is flat.
ถ่านก้อนนี้ไม่มีไฟแล้ว
–I have been a little busy.
ฉันกำลังยุ่งอยู่ค่ะ
–My class/working day was over.
ชั่วโมงเรียน/วันทำงานของฉันได้เลิกลงแล้ว
–I am broke.
ฉันถังแตก
–Our rent will be due tomorrow.
ค่าเช่าของเราจะถึงกำหนดต้องจ่ายวันพรุ่งนี้
–Are you afraid of the dark?
เธอกลัวความมืดไหม?
–He is good, but not that good.
เขาเก่ง แต่ไม่ได้เก่งมากมายอย่างที่เขาพยายามจะแสดงให้เราเห็นหรอก
–I’m sleepy. I’m going to go to bed.
ฉันง่วงนอนแล้ว ฉันตั้งใจว่าจะไปนอนแล้วล่ะ
–Be quick/quiet.
เร็วหน่อย/เงียบหน่อย
–Don’t be afraid.
อย่ากลัวไปหน่อยเลย
–Don’t be so negative, be positive.
อย่ามองโลกในแง่ร้ายจนเกินไป จงมองโลกในแง่ดี
–Remember, be polite to our customers.
จำไว้...จงสุภาพต่อลูกค้าของเรา
A: Is tomorrow all right for you?
พรุ่งนี้จะสะดวกสำหรับคุณไหม?
B: Tomorrow is fine.
ตกลง...พรุ่งนี้ก็สะดวกดีนะ
A: What is so funny?
ขำอะไรรึ?
B: The news that is.
ขำเนื้อหาของข่าวนั่นล่ะ
A: What is on?
รายการอะไรน่ะ...บนหน้าจอทีวี?
B: A horror movie.
หนังสยองขวัญจ้ะ
A: Are you online?
กำลังท่องโลกอินเตอร์เน็ทอยู่รึเปล่า?
B: Yes, I am.
กำลังท่องอยู่จ๊ะ
A: Well, may you check this for me?
ดีเลย...งั้นช่วยตรวจสอบสิ่งนี้ดูให้หน่อยได้ไหม? 
3. S + be + preposition + noun/pronoun
เราสามารถใช้ verb to be กับ preposition + noun/pronoun (บุพบทวลี) ได้ดังต่อไปนี้
–Those birds were from Brazil.
นกเหล่านั้นมีถิ่นกำเนิดที่ประเทศบราซิล
–He is from an insurance company.
เขาเป็นคนของบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง
–I am at the breakfast table.
ฉันทานอาหารเช้าอยู่ที่โต๊ะอาหาร
–They were on their way to the north.
พวกเขาอยู่บนเส้นทางที่มุ่งสู่ทิศเหนือ
–The deadline is on Monday.
เส้นตายคือวันจันทร์
–The sale date is from July 28th to August 5th.
วันลดราคาเริ่มจาก 28 กรกฎาคมถึง 5 สิงหาคม
–He is at work.
เขากำลังทำงานอยู่
–I am with you.
ผมอยู่กับคุณแล้ว/ผมฟังคุณอยู่
–I’m in my casual clothes.
ฉันสวมใส่เสื้อผู้ชุดลำลอง
–This month I’m on night shift.
เดือนนี้ฉันทำงานกะกลางคืน
–I’ll be off duty in 30 minutes.
ฉันจะเลิกงานในอีก 30 นาที
–Tell him I am on the other line.
บอกเขาไปว่าฉันติดสายอื่นอยู่
–Miniskirt is always in fashion.
กระโปรงสั้นมักอยู่ในสมัยนิยมเสมอ
–Who will be behind the wheel?
ใครจะเป็นคนขับรถ?
–These letters are for her.
จดหมายเหล่านั้นสำหรับเจ้าหล่อน
–This fork is for being used with the spoon like this.
ส้อมนี้สำหรับใช้กับช้อนแบบนี้
A: What are you doing?
กำลังทำอะไรอยู่น่ะ?
B: I’m being on Twitter/the internet.
ฉันกำลังเล่น Twitter/internet อยู่
4. S + be + adverbial phrase of distance
เราสามารถใช้ verb to be กับ adverbial phrase of distance (วิเศษณ์วลี
แสดงระยะทาง) ได้ดังต่อไปนี้
–The hospital is 3 blocks ahead.
โรงพยาบาลอยู่ 3 ช่วงตึกข้างหน้า
–The bank is two-bus stop away.
ธนาคารอยู่ห่างออกไป 2 ป้ายรถเมล์
–The National Park is about 5 kilometers away.
วนอุทยานแห่งชาติอยู่ห่างออกไปประมาณ 5 กิโลเมตร
–My friends are many kilometers away.
เพื่อนๆของฉันอยู่ห่างออกไปหลายกิโลเมตร
5. S + be + adverb of time/duration
เราสามารถใช้ verb to be กับ adverb of time/duration (วิเศษณ์แสดงเวลา/
ระยะเวลา) ได้ดังต่อไปนี้
–The appointment is this week.
การนัดหมายมีกำหนดสัปดาห์นี้
–The departure time was 11.00 o’clock.
กำหนดเวลาออกเดินทางคือ 11 โมงเช้า
–The second place was 6 seconds behind.
ตำแหน่งที่ 2 ตามหลังอยู่ 6 วินาที
–The TV program was yesterday evening, not this evening.
รายการโทรทัศน์ที่เธอจะดูมีเมื่อวานตอนค่ำ ไม่ใช่ค่ำนี้
6. S + be + to-infinitive ปุ่มลิ้งค์ไป facebook
เราสามารถใช้ verb to be กับ to-infinitive ในกรณีดังต่อไปนี้
6.1 ใช้ S + be + to-infinitive เพื่อแสดงถึงกำหนดการแบบ
เป็นทางการ
–The meeting is to be on Friday next week.
การประชุมมีกำหนดวันศุกร์อาทิตย์หน้า
6.2 ใช้ S + be + to-infinitive เพื่อออกคำสั่ง
–You both are to keep quiet.
เธอทั้งคู่ต้องเงียบเสียงนะ 
7. S + be + noun/pronoun
เราสามารถใช้ verb to be กับ noun/pronoun ได้ดังต่อไปนี้
–Don’t be a jaywalker.
อย่าเป็นคนไม่ข้ามถนนในทางข้าม
–This ruler is mine, not yours.
ไม้บรรทัดนี้เป็นของฉัน...ไม่ใช่ของเธอ
–I am a teacher.
ฉันมีอาชีพเป็นครู
–I am Wongkot.
ผมชื่อวงกต
–You are sixteen now.
ลูกมีอายุสิบหกปีแล้วนะ
–What is date today?
วันนี้เป็นวันที่เท่าใด?
–This clock is one thousand baht.
นาฬิกาเรือนนี้ราคาหนึ่งพันบาท
–I’m ten thousand baht in debt(เด็ท) to my sister.
ผมเป็นหนี้น้องสาวผมอยู่ 10,000 บาท
–The mobile phone is two times smaller in size.
มือถือมีขนาดเล็กลง 2 เท่า
–What (price) is this T-shirt?
เสื้อยืดตัวนี้ราคาเท่าไหร่?
–This movie is my favorite.
หนังเรื่องนี้คือเรื่องโปรดของฉัน
–The power was failure. I can’t see to read.
ไฟฟ้าดับ ฉันไม่สามารถเห็นเพื่ออ่านได้
–The sufficiency way of life is alternative of our time.
วิถีชีวิตแบบพอเพียงคือทางเลือกในยุคสมัยของเรา
A: Are you a coffee drinker?
คุณเป็นคนชอบดื่มกาแฟรึเปล่า?
B: Yes, I am.
เป็นครับ
A: You are very Thai.
คุณเป็นคนไทยขนานแท้
B: How do you know that?
คุณรู้ได้อย่างไร?
A: What is your name?
เธอชื่ออะไรน่ะ?
B: Eric. My name is Eric.
เอริค...ชื่อของฉันคือเอริค
A: Is she Miss Right?
เจ้าหล่อนเป็นคนที่ใช่รึเปล่า? smile emoticon เจ้าหล่อนใช่ผู้หญิงในฝันของเกลอรึเปล่า?)
B: No, she isn’t. She is Miss Wrong.
ไม่ใช่...เจ้าหล่อนไม่ใช่ เจ้าหล่อนเป็นคนที่ไม่ใช่สำหรับกัน
8. S + be + adjective + to-infinitive
โครงสร้างประโยค S + be + adjective นั้น ถ้าเราต้องการนำเอา to-infinitive
มาขยายความ adjective เราก็สามารถทำได้ทันที ดังต่อไปนี้
–I’m glad to see you.
ผมยินดีที่ได้พบคุณ
–Are you ready to order?
ท่านพร้อมที่จะสิ่งอาหารรึยังครับ?
–This equation is not easy to solve.
สมการนี้ไม่ง่ายที่จะแก้
–I’m pleased to inform you that you get promoted.
ผมยินดีที่จะแจ้งให้คุณทราบว่าคุณได้รับการเลื่อนขั้น
–She wasn’t afraid to do a bungee jump.
เจ้าหล่อนไม่กลัวที่จะเล่นบันจีจั๊มพ์
–We’re sorry to learn that your car was stolen.
เรารู้สึกเสียใจที่ได้ทราบข่าวว่ารถของคุณถูกขโมยไป
–He is certain to win the contest.
เขาต้องชนะการแข่งขันอย่างแน่นอน
–This TV programme is interesting to watch.
รายการโทรทัศน์รายการนี้น่าสนใจที่จะดู
–This phone is too expensive to buy.
โทรศัพท์นี้แพงเกินไปที่จะซื้อ
9. S + be + adjective + present participle (v-ing)
ตามปกติโครงสร้างประโยค S + be + adjective นั้น มักใช้ to-infinitive มา
ขยายความ adjective ดังข้อ 8 ข้างต้น ส่วนการนำเอา present participle (v-ing) มาขยายความนั้นก็สามารถทำได้ แต่ไม่ค่อยนิยมกัน
อย่างไรก็ตาม มี adjective อยู่ 2 คำที่นิยมใช้ present participle (v-ing) มา
ขยายความ นั่นคือ busy และ worth ดังประโยคตัวอย่างต่อไปนี้
–He is busy doing his homework.
เขายุ่งอยู่กับการกำลังทำการบ้าน
–This website is worth surfing.
เว็บไซต์นี่ดีพอที่จะเข้ามาเยี่ยมชม

10. S + be + that clause/question-word clause
เราสามารถใช้ verb to be กับ that clause/question-word clause ได้ดัง
ต่อไปนี้
–The trouble is that she is my boss’s daughter.
ปัญหาก็คือหล่อนเป็นลูกสาวเจ้านายของกันเอง
–He is not what you might think.
เขาไม่ใช่คนอย่างที่คุณอาจจะคิดว่าเขาเป็น
that she is my boss’s daughter และ what you might think ข้างต้น ก็
คือ that clause และ question-word clause ตามลำดับ
และ that clause และ question-word clause (wh-clause) ก็คือ noun
clause ซึ่ง noun clause ก็ทำหน้าที่เป็น ‘คำนาม’ นั่นเอง
ดังนั้น that she is my boss’s daughter และ what you might think ข้าง
ต้น จึงหน้าที่เป็น ‘คำนาม’ ด้วยเช่นกัน
อนึ่ง การทำให้ประโยคทั้งประโยคกลายเป็นเพียงคำนามคำหนึ่งโดยการเติม that
หรือ question word เข้าไปข้างหน้านี้ ถือว่าเป็นวิธีการทางภาษาที่ชาญฉลาด เพราะ
ทำให้เราสามารถนำประโยคทั้งประโยคซึ่งได้กลายเป็นคำนามไปแล้วนี้ ไปทำหน้าที่ต่างๆ
ได้อย่างสะดวก เช่น การใช้กับ verb to be ดัง 2 ประโยคตัวอย่างข้างต้น เป็นต้น
ผู้เขียนขอยกประโยคตัวอย่างอื่นๆของการใช้ that clause และ question-word
clause กับ verb to be เพิ่มเติมให้อีก เพื่อให้ท่านผู้อ่านเข้าใจการใช้นี้ได้อย่างกระจ่าง
แจ้งหมดสิ้นข้อสงสัยใดๆ ดังนี้
A: You got me wrong.
คุณเข้าใจผมผิด
B: What is that I got you wrong?
อะไรล่ะที่ฉันเข้าใจคุณผิด?
–The fact is that the rumor has already spread.
ข้อเท็จจริงก็คือข่าวลือได้แพร่กระจายออกไปแล้ว
–The problem is who will drive.
ปัญหาก็คือใครจะเป็นคนขับ
–That is why I love her.
นั่นคือสาเหตุที่ทำไมผมจึงรักเจ้าหล่อน
–The big surprise was when she won the trophy.
ความประหลาดใจเป็นอย่างมากก็คือตอนที่เจ้าหล่อนชนะได้ถ้วยรางวัล
–The question is how it happened.
คำถามก็คือมันเกิดขึ้นได้อย่างไร
–The keys are not where they are.
กุญแจไม่ได้อยู่ในที่ที่มันอยู่

11. S + be + adjective + that clause/question-word
clause
โครงสร้างประโยค S + be + adjective นั้น ถ้าเราต้องการนำเอา that clause
หรือ question-word clause มาขยายความ adjective เราก็สามารถทำได้ ดังประโยค
ตัวอย่างต่อไปนี้
–I’m so thankful that you are with me.
ดิฉันดีใจที่คุณมาอยู่กับดิฉัน
–She’s so pleased that you sent her some flowers.
เจ้าหล่อนยินดีและมีความสุขมากที่คุณส่งดอกไม้ไปให้
–Are you sure that you have locked the car door?
คุณแน่ใจนะว่าคุณล็อคประตูรถแล้ว?
–I’m not clear how this machine works.
ผมไม่ค่อยแน่ใจว่าเครื่องจักรนี้มีหลักการในการทำงานอย่างไร
–I’m not clear whether she will confirm that.
ผมไม่ค่อยแน่ใจว่าเจ้าหล่อนจะยืนยันสิ่งนั้นหรือไม่
–I’m not sure whether I will buy it or not.
ผมไม่ค่อยแน่ใจว่าผมจะซื้อมันหรือไม่

99 วลีและประโยคสั้นในภาษาอังกฤษที่ทุกคนต้องรู้

99 วลีและประโยคสั้นในภาษาอังกฤษที่ทุกคนต้องรู้ ใช้บ่อยมากในชีวิตประจำวัน!!


     บทความนี้ผมก็มี 99 วลีและประโยคสั้นในภาษาอังกฤษ มาฝาก ซึ่งผมคิดว่าทุกคนจำเป็นที่จะต้องรู้ไว้ เนื่องจากเป็นวลีและประโยคที่พบเจอบ่อยมากๆในชีวิตประจำวันนั่นเอง

1. Help yourself! เชิญตามสบาย
2. Absolutely! อย่างแท้จริง
3. What have you been doing? ช่วงนี้คุณทำอะไรบ้าง
4. Nothing much. ไม่มีอะไรมาก
5. What’s on your mind? คุณคิดอะไรอยู่

6. I was just thinking. ฉันแค่กำลังคิด
7. I was just daydreaming. ฉันแค่ฝันกลางวัน
8. It’s none of your business. ไม่ใช่เรื่องของคุณ
9. Is that so? อย่างนั้นหรือ
10. How come? ทำไมล่ะ

11. How’s it going? เป็นอย่างไรบ้าง
12. Definitely! อย่างแน่นอน
13. Of course! แน่นอน
14. You better believe it! เป็นจริงอย่างไม่ต้องสงสัย
15. I guess so ฉันเห็นด้วย

16. There’s no way to know. ไม่มีทางที่จะรู้เลย
17. I can’t say for sure. ฉันบอกได้ไม่ชัดหรอกนักว่า
18. This is too good to be true! มันดีเกินกว่าที่จะเป็นจริง (เหลือเชื่อ)
19. No way! (Stop joking!) ไม่มีทาง
20. I got it. ฉันเข้าใจแล้ว

21. Right on! (Great!) ถูกต้อง!
22. I did it! (I made it!) ฉันทำได้แล้ว
23. Got a minute? มีเวลาไหม?*****(Are duplicate.)
24. About when? เมื่อไหร่?
25. I won’t take but a minute. ฉันใช้เวลาไม่นานหรอก

26. Speak up! พูดซิ
27. Never mind! ช่างมันเถอะ
28. So we’ve met again, eh? เราจะได้พบกันอีกใช่ไหม?*** (So we meet again)
29. Come here. มานี่
30. Come over. มาเยี่ยม

31. Don’t go yet. อย่าเพิ่งไป
32. Please go first. After you. เชิญไปก่อนเลยครับ
33. Thanks for letting me go first. ขอบคุณที่ให้ฉันไปก่อนนะคะ
34. What a relief. โล่งอกไปที
35. bad luck! โชคร้าย

36. You’re a life saver.คุณช่วยชีวิตฉันไว้
37. I know I can count on you. ฉันรู้ว่าฉันสามารถไว้ใจคุณได้
38. Anything else? มีอะไรอีกไหม?
39. That’s a lie! นั่นเป็นเรื่องโกหก
40. Do as I say. ทำอย่างที่ฉันพูด

41. This is the limit! นี่คือขีดจำกัด
42. Explain to me why.อธิบายฉันมาซิว่าทำไม
43. Ask for it! แส่หาเรื่อง
44. In the nick of time. ทันเวลาพอดี
45. No litter. ห้ามทิ้งขยะ

46. Go for it! ลงมือทำเลย
47. Don’t forget อย่าลืมนะ
48. How cute! ช่างน่ารักอะไรอย่างนี้
49. None of your business! ไม่ใช่ธุระของคุณ
50. Don’t peep! ห้ามแอบดู

51. What I’m going to do if… ฉันจะทำยังไงถ้า…
52. Stop it right away! หยุดเดี๋ยวนี้เลย
53. A wise guy, eh?! คนที่อวดฉลาดหรอ?
54. You’d better stop dawdling. คุณควรจะหยุดทำตัวอืดอาดได้แล้ว
55. Say cheese! ยิ้มหน่อย

56. Be good! อย่าซน ทำตัวดีๆ
57. Please speak more slowly กรุณาพูดช้าๆกว่านี้หน่อย
58. Me? Not likely! ฉันหรอ? ไม่น่าจะใช่นะ
59. Scratch one’s head. เวลาที่เราพบความยากลำบากในการทำความเข้าใจกับบางสิ่งบางอย่าง
60. Take it or leave it! ยอมรับหรือลืมมันเสียเถอะ

61. what a pity! น่าเสียดายจัง
62. Mark my words! จำคำพูดฉันเอาไว้นะ
63. What a relief! โล่งอกไปที
64. Enjoy your meal! ทานอาหารให้อร่อยนะ
65. It serves you right! สมน้ำหน้า

66. The more, the merrier! คนยิ่งเยอะก็ยิ่งครึกครื้น
67. Boys will be boys! ผู้ชายก็เป็นผู้ชายอยู่วันยังค่ำ
68. Good job! / Well done! ดีมาก
69. Just for fun! แค่สนุกๆ, ขำๆ
70. Try your best! พยายามให้ถึงที่สุด

71. Make some noise! ขอเสียงหน่อย
72. Congratulations! ขอแสดงความยินดีด้วย
73. Calm down! ใจเย็นๆ
74. Go for it! ลงมือทำเลย
75. Strike it lucky. โชคดี

76. Always the same. เหมือนเดิมตลอด
77. Hit it off. ถูกชะตากัน
78. Hit or miss. อย่างไม่ระมัดระวัง, อย่างไร้ทิศทาง
79. Add fuel to the fire. เติมเชื้อไฟ
80. Don’t mention it! / Not at all. ไม่เป็นไร

81. Just kidding (joking) ล้อเล่น
82. No, not a bit. ไม่แม้แต่น้อยเลย, ไม่เลย
83. Nothing particular! ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ
84. I’ll take your word for it. ฉันจะเชื่อคุณละกัน
85. The same as usual! เหมือนเดิม

86. Almost done! เกือบเสร็จแล้ว
87. You ‘ll have to step on it. คุณต้องรีบๆหน่อย
88. I’m in a hurry. ฉันกำลังรีบ
89. Sorry for bothering! ขอโทษที่รบกวน
90. Give me a certain time! ให้เวลาที่แน่นอนกับฉันด้วย

91. Provincial! บ้านนอก
92. Discourages me much! ฉันรู้สึกท้อมาก
93. It’s a kind of once-in-life! มันคือครั้งหนึ่งในชีวิต ****(It's once in a lifetime.)
94. The God knows! พระเจ้าทรงทราบ, พระเจ้าทรงเป็นพยาน****( God knows!)
95. Poor you/me/him/her..! น่าสงสารจัง

96. Got a minute? มีเวลาไหม?*****(Are duplicate.)
97. I’ll be shot if I know ฉันต้องตายแน่ถ้าฉันรู้
98. To argue hot and long ข้อโต้แย้งที่รุนแรง
99. This one is on me! ฉันเลี้ยงเอง

ที่มา english.topicanative.asia