วันพฤหัสบดีที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

สำนวน take (something/somebody) seriously แปลว่า “จริงจัง, ตั้งใจ ให้ความสำคัญกับอะไรบางอย่างหรือใครบางคน”

สำนวน take (something/somebody) seriously แปลว่า “จริงจัง, ตั้งใจ ให้ความสำคัญกับอะไรบางอย่างหรือใครบางคน”
เช่น
Just let it go. Don’t take everything he says so seriously.
ช่างเถอะ อย่าไปจริงจังกับทุกอย่างที่เขาพูดเลย
Don’t waste time. Take your study seriously.
อย่ามัวแต่เสียเวลา ตั้งใจเรียนหน่อยสิ
Take it seriously. It’s the biggest show we’ve ever had.
จริงจังกันหน่อย นี่เป็นโชว์ใหญ่ที่สุดที่เคยมีของเราเลยนะ
I think she doesn’t take you seriously.
ข้าว่านะ เจ้าหล่อนไม่จริงจังกับเอ็งหรอก
** ข้อความจากภาพค่ะ
“Do not take life so seriously. It’s not like you’re going to get out alive.”
“อย่าจริงจังกับชีวิตมากนัก เพราะยังไงคุณก็ไม่อาจก้าวพ้นมันไปโดยที่ยังมีชีวิตอยู่”
*** ที่บอกว่าไม่ให้จริงจัง ไม่ได้หมายความว่าจะต้องปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม แต่หมายถึงต้องรู้ว่าอะไรที่ควรจริงจัง และอะไรที่ควรปล่อยวางค่ะ ^^
สำนวน in the middle of (doing) something
เวลาที่ใครบอกว่า I’m in the middle of something เค้าหมายถึงว่า เขากำลังยุ่งๆอยู่ หรือกำลังทำอะไรค้างเอาไว้ เช่น
  • Sorry, I’m in the middle of something. Can I call you back later?
    โทษนะ ฉันกำลังยุ่งอยู่ ไว้โทรไปทีหลังได้มั๊ย?
แต่ถ้าอยากบอกว่ากำลังทำอะไรหรือยุ่งอยู่กับอะไรก็ ใส่ V+ing เข้าไป เช่น
  • Whenever I meet him, he’s always in the middle of talking on the phone.
    เวลาที่ฉันเจอเขาทีไรนะ เขาก็มักจะยุ่งอยู่กับการคุยโทรศัพท์ทุกครั้งเลย
** มีสำนวน in the middle อื่นๆ มาแถมค่ะ ^^
สำนวน be caught/stuck in the middle
สำนวนนี้เอาไว้บอกเวลาที่เราเกิดตกอยู่ในสภาวะที่ทำใจลำบาก กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ในกรณีที่เราต้องไปอยู่ตรงกลางระหว่างความขัดแย้งของสองฝ่าย เช่น พี่กับน้องทะเลาะกัน เราไม่รู้จะทำยังไงดี นั่นก็พี่ นี่ก็น้อง อะไรประมาณนี้ค่ะ เช่น
  • My mother and sister are always arguing and I find myself caught in the middle.
    แม่กับน้องฉันทะเลาะกันประจำเลย และฉันก็ต้องตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
หรือใช้ในกรณีที่เราไม่รู้จะทำยังไง เคว้งคว้าง ไม่รู้จะทำตัวอย่างไร แก้ปัญหาอย่างไร ไม่รู้จะเดินไปทางไหนดี
เหมือนความหมายเพลง The Show ของ Lenka ค่ะ
ท่อนที่บอกว่า
“I’m just a little bit caught in the middle
Life is a maze and love is a riddle
I don’t know where to go
Can’t do it alone I’ve tried
And I don’t know why.”
ฉันแค่กำลังรู้สึกสับสนนิดหน่อย
ชีวิตนั้นเหมือนกับทางวงกต และความรักก็เหมือนปริศนา
ฉันไม่รู้ว่าจะต้องเดินไปทางไหนดี
และฉันทำมันคนเดียวไม่ได้ ถึงฉันจะพยายามแล้วก็ตาม
แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไม
*** ถ้าวันไหนแอดมินไม่ได้โพส แสดงว่า I’m in the middle of something นั่นเอง ไม่ได้หายไปไหนนะค่ะ ^^
# สำนวน I’ve had it (up to here) !!
สำนวน I've had it (up to here) !!
สำนวน I’ve had it (up to here) !!
เวลาจะพูดภาษาอังกฤษ บางทีเราก็สามารถใช้ศัพท์ง่ายๆเพื่อสื่อความหมายอย่างที่เราต้องการได้ อย่างเช่นที่จะนำเสนอในวันนี้ค่ะคือสำนวน I have had it. เห็นมั๊ยคะว่ามีแต่คำง่ายๆ เบสิคๆทั้งนั้น verb คำว่า have ก็แปลว่า “มีหรือกิน” ไง
แต่อย่าเพิ่งแน่ใจไปค่ะ เพราะขึ้นชื่อว่าสำนวน มันจะแปลตรงตัวไ้ด้ที่ไหน!!! ลองดูตัวอย่างสถานการณ์ก่อนค่ะ
เจนรอแฟนอยู่เป็นชั่วโมงแล้ว เธอกำลังหงุดหงิด และทุกครั้งแฟนเธอก็มักจะมาสายอย่างนี้ประจำ พอเจอหน้าแฟนเธอเท่านั้นแหละ เธอก็อดรนทนไม่ไหว พูดออกไปด้วยความโมโหว่า
“I have had it with you!!”
พอจะเดาออกมั๊ยคะว่า เจนหมายความว่าอย่างไร
คำตอบก็คือ สำนวน I’ve had it. เนี่ยมันแปลได้ว่า “พอเถอะ, พอกันที, ทนไม่ไหวแล้ว, ทนมาพอแล้ว” ประมาณนี้แหละค่ะ
** ถ้าจะใช้ have ในความหมายนี้ ปกติแล้วจะอยู่ในรูปของ Present perfect tense แบบนี้ค่ะ
มาดูตัวอย่างอื่นกันบ้าง
I’ve had it up to here with your nonsense.
ชั้นหมดความอดทนกับความงี่เง่าของเธอแล้วนะ
We’ve it up to here with you, John. Get lost!
พวกเราไม่ไหวจะทนกับคุณแล้วนะ จอห์น ไปให้พ้นๆหน้าเลยไป!
# สำนวน I can’t take it anymore.
I can't take it anymore.
I can’t take it anymore.

คำว่า take แปลได้หลายความหมายมากค่ะ แต่ในประโยคนี้อาจจะแปลได้ว่า “ชั้นทนไม่ไหวแล้ว”
เช่น
Everything went wrong. I can’t take it anymore. 
ทุกอย่างมันพลาดไปหมด ชั้นรับมันไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
It’s so hot here. I can’t take it anymore.
ร๊อนนน ร้อน ทนไม่ไหวแล้ว
** แดด ณ ไทยแลนด์ร้อนจริง อะไรจริงค่ะ ^^

# สำนวน Don’t get me wrong.
เวลาที่เรากลัวว่าใครจะเข้าใจในสิ่งที่เราพูดหรือทำอะไรแบบผิดๆ เราก็มักจะพูดออกตัวก่อนเลยว่า “อย่าเข้าใจฉันผิดนะ” ภาษาอังกฤษเราใช้สำนวนนี้ค่ะ “Don’t get me wrong.”   เช่น
  • Don’t get me wrong. I’d love to go with you, but I’m so tired today.
    อย่าเข้าใจผิดนะ จริงๆแล้วผมก็อยากไปกับคุณแต่วันนี้ผมเหนื่อยมากๆ
  • Don’t get me wrong. I love children, but you know they bother me sometimes.
    อย่าเข้าใจผิดนะ จริงๆแล้วฉันชอบเด็กๆแต่ คุณก็รู้นี่นะ บางทีพวกเขาก็กวนใจฉันน่ะ

  • A: Are you having a crush on him?
    เธอกำลังแอบปลื้มเขาใช่มั๊ยล่ะ
    B: No, it’s not that. Don’t get me wrong!!
    ไม่ ไม่ใช่แบบนั้นนะ อย่าเข้าใจผิดสิ
  • A: You don’t like this cake, do you?
    คุณไม่ชอบเค้กนี่ใช่มั๊ย
    B: No, No, No, don’t get me wrong. I’m just on a diet.
    ไม่ ไม่ ไม่ อย่าเข้าใจผิดนะ ฉันก็แค่กำลังลดความอ้วนน่ะ
Idiom of The Day :
  • have a crush on (someone)
คำว่า crush แปลได้หลายความหมาย โดยมากมักหมายถึง บดให้ละเอียด หรือ คั้น แต่ในสำนวนนี้จะหมายถึง “หลงใหลหรือหลงรักใครสักคน” เป็นอาการหลงใหลได้ปลื้มหรือแอบชอบมากว่า เช่นในตัวอย่างประโยคต่อไปนี้
  • “I think I know you have a crush on her.”
    “รู้นะว่านายน่ะแอบชอบเธออยู่”
  • “I really had a tremendous crush on Robert when he acted as Edward in Twilight.”
    “ฉันโคตรปลื้มโรเบิร์ตเลยตอนที่เขาแสดงเป็นเอ็ดเวิร์ดในเรื่อง Twilight น่ะ”
แต่ถ้าเทียบกับสำนวน “fall in love with (someone)”แล้วล่ะก็ คำว่า fall in love จะดูจริงจังมากกว่า have a crush on…
ลองเอาไปใช้ดูนะคะ ^^
(be) about to” มันใช้ยังไงกันล่ะเนี่ย !! ****
………….คำว่า about ปกติแล้วที่เรามักจะคุ้นๆกันจะแปลว่า ประมาณ, เกี่ยวกับ แต่ในสำนวน “(be) about to…” จะหมายถึง “กำลังจะ…” ใช้พูดถึงเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ๆนี้ คำว่า be ที่อยู่ข้างหน้า ก็คือ verb to be ซึ่ง สำนวน about to จะต้องตามหลัง verb to be เสมอนะคะ
# ตัวอย่างประโยค เช่น
  • Hurry up ! We are about to miss the train.
    เร็วๆเข้าหน่อย พวกเรากำลังจะตกรถไฟแล้วนะ
  • I am about to reach.
    ผมกำลังจะไปถึงแล้วนะ
  • Help me! I’m about to fall.
    ช่วยด้วย ! ผมกำลังจะตกแล้ว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น